มาเก๊า ยุโรปน้อยแห่งเอเชีย

by - มิถุนายน 03, 2560




มาเก๊า ยุโรปน้อยแห่งเอเชีย

วันแรกของการเดินทางสู่มาเก๊า เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียรอบเช้า ออกจากดอนเมือง 06.45 น. ถึงมาเก๊าประมาณ 10 โมงเช้าของมาเก๊า ซึ่งเวลาเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง

เนื่องจากเรามาถึงยังไม่มีเศษเหรียญเลยเลือกนั่งรถ Free Shuttle Bus ของโรงแรมเป็นทางเลือกแรก
พอออกมาจาก ตม. จะเห็นป้าย Hotel Shuttle ให้ตามนั้นไปเลยค่ะ ตามป้ายเรื่อยๆ จะเจอที่จอดรถโรงแรมต่างๆ
เราพักที่ รร. Ole Tai Sum Un ซึ่งอยู่ทางเกาะมาเก๊า ถ้าจะนั่งรถฟรีจากสนามบินตอนนี้เหลือทางเลือกหลักๆ ที่ไปใกล้ๆ เซนาโด้ที่เราพักอยู่ คือ นั่งรถของ Wynn Hotel ไปลงหน้าโรงแรม Wynn Hotel เดิน / แท็กซี่ / รถเมล์ตามอัธยาศัย หรือนั่งรถของ City of Dream ไปลง City of Dream ไปลงไปชั้นล่างต่อรถ Shuttle Bus ไปลงใกล้ๆ Grand Emperor แล้วเดิน

เราเลือกนั่งรถ Wynn Hotel แบบกะว่ารวดเดียวจบ แล้วเดินๆ ชมเมืองไปที่พัก
พอไปถึงปรากฎว่าฝนตกค่ะ เลยลากกระเป๋าโบกแท็กซี่ไปลงซันหมาโหล่ว(เซนาโด้) แทน



หน้าตาที่พักของเราลากกระเป๋าตาม Google Map มาเรื่อยๆ อยากบอกว่าโทรศัพท์รวนค่ะ GPS เพี้ยน ดีที่โทรศัพท์เพื่อนปกติดี จึงมาถึงโดยสวัสดิภาพ ที่นี่เช็คอินได้ตอนบ่าย 2 นะคะ เราเลยฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วออกไปหาอะไรกิน เราออกไปหาอะไรกินแถวโบสถ์เซนต์ลอว์เรนซ์ และเที่ยวชมโบสถ์ต่อเลย
ลองดูที่พัก booking หรือ agoda

St. Lawrence's Church



ที่นี่เป็นหนึ่งในสามโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊าค่ะ ที่บันไดหน้าโบสถ์เคยเป็นที่รวมตัวของครอบครัวของนักเดินเรือมาสวดมนต์เพื่อรอคอยการกลับมาของคนรัก ที่นี่จึงมีอีกชื่อว่าหอแห่งสายลมประโลม

ยืนอยู่ตรงบันไดมองลงไปข้างหน้าเหงาๆ แบบนี้



ด้านใน




Madarin House



จากโบสถ์เซนต์ลอว์เรนซ์ เราเดินตรงมาประมาณ 300 เมตร จะเจอกับจัตุรัสลีเลา เข้าไปตรงซอยด้านขวามือจะเจอกับคฤหาสน์แมนดาริน

ที่นี่เคยเป็นที่อาศัยของนักประพันธ์จีนชื่อดัง ภายในเป็นบ้านแบบจีนโบราณประกอบด้วยบ้านเรือนหลายๆ หลัง มีลานหน้าบ้าน ส่วนการตกแต่งผสมผสานความเป็นจีนและตะวันตก








Lilau Square



เที่ยวจนทั่วก็ออกมาพักที่จัตุรัสลีเลา ที่นี่มีน้ำบ่อน้ำพุ ที่เคยมีวลีอยอดนิยมในภาษาโปรตุเกสกล่าวไว้ว่าผู้ที่ดื่มน้ำ จากลีเลา ย่อมจักมิอาจลืมเลือนมาเก๊าได้เลย” 






Penha Church



หลังจากพักกันซักพักเราก็เดินต่อไปยังโบสถ์เพนญ่าค่ะ  เดินต่ออีกแค่ 300 เมตร แต่เป็น 300 เมตรบนทางเดินที่เป็นเนินขึ้นเขา จากจุดนี้เราสามารถชมวิวของคาบสมุทรมาเก๊า ดูมาเก๊าทาวเวอร์ได้ เป็นมุมนิยมของช่างภาพเลยทีเดียว ตัวโบสถ์ก็สวยงามเป็นที่ที่นิยมมาถ่ายพรีเวดดิ้ง 


ตัวโบสถ์




สามารถชมมาเก๊าทาวเวอร์มุมนี้ได้จากที่นี่


A-Ma Temple



เดินต่อจากโบสถ์เพนญ่ามาไม่นานก็จะถึงวัดอาม่าค่ะ วัดซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองมาเก๊า เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในมาเก๊า


หน้าวัดเราโชคดีเจอคุณลุงขายไอติมที่ใครๆ ก็พูดถึง ไหนๆ ก็มาถึงแล้วอุดหนุนคุณลุงซักหน่อย แต่เป็นไอติมราคาค่อนข้างสูงทีเดียว


ภายในวัดอาม่าประกอบด้วยศาลา 4 ชั้นหันหน้าออกทางอ่าว นอกจากไหว้สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีให้เขียนคำขอพรแขวนให้รับลม


ชามใหญ่นี้ พอเราไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ให้ลองใช้มือถือไปมาที่หูจับ ถ้ามีน้ำกระเซ็นออกมาพรที่ขอจะสมหวังค่ะ

เรือสำเภาแกะสลักบนหินนี้ให้เอาเงินมาลูบให้ทั่วเก็บไว้เป็นขวัญถุงเพื่อความมั่งมีค่ะ


Macao Tower


วันที่เรามาเนื่องจากมีฝนปรอยๆหยุดบ้างตกบ้าง ทำให้อากาศเย็นสดชื่นเลยค่ะ 4 โมงเย็นอากาศ 24 องศา เดินกันชิวๆ เลย
เราก็เลยเดินต่อไปมาเก๊าทาวเวอร์กัน เราจะเดินผ่านตรงริมทะเลสาบตรงนี้เป็นสวนสาธารณะมีคนออกกำลังกาย พักผ่อน เดินเล่น เราก็เดินชิวนั่งเล่น ถ่ายรูปไปเรื่อย แป๊ปเดียวก็ถึงมาเก๊าทาวเวอร์ค่ะ


มาเก๊าทาวเวอร์ คือแห่งบันเทิงครบวงจร มีความสูง 338 เมตร ตัวอาคารเหมาะสำหรับการขึ้นไปชมวิวรอบเมือง สามารถทำกิจกรรมท้าทายอย่างเดินชมวิวรอบหอคอย หรือกระโดดสกายจัมป์


สำหรับค่าบัตรสำหรับคนที่ขึ้นไปชมวิวที่ชั้น 58 กับ 61 เฉยๆ คือ 135 MOP นะคะ ราคาผู้ใหญ่ ถ้าซื้อพร้อมเข้าร้านอาหารจะอีกราคา แล้วก็มีขายบัตรทำกิจกรรมอีกราคานึง


ส่วนตัวคิดว่าชั้น 58 จะเหมาะกับนั่งชมวิวกว่า แล้วก็มีกระจกใสที่พื้นให้เรามองด้านล่างเสียวเล่นๆ ชั้นบนเนื่องจากมีทางเดินรอบเลยบังวิวไปบ้าง

ชั้น 61 จะเป็นชั้นทำกิจกรรม ขึ้นไปดูคนเดินรอบนอกหอคอยกับกระโดดสกายจัมป์ได้ ที่ชั้น 58 เองก็มีจุดให้ดูนะคะ ดูกล้องพอเขากระโดดก็จะผ่านหน้าตรงจุดที่เราดูพอดี ใจหายวาบๆ แทน

เราสามารถขึ้นลงชั้น 58 กับ 61 ได้ตามพอใจ ที่ชั้น 58 จะมีแถวให้ว่าจะต่อขึ้นลิฟท์ลงชั้นล่างหรือขึ้นชั้น 61 ส่วนลิฟท์ชั้น 61 ก็ต่อแถวเดียวจะลง 58 ก็ลงก่อน ใครจะลงชั้นล่างก็ลงต่อไปได้เลย

ขากลับที่ด้านหน้ามาเก๊าทาวเวอร์จะมีป้ายรถเมล์อยู่ค่ะ รอรถเมล์ที่ป้ายนี้ได้เลยเรารอรถ 9A ไปลงที่ Lisboa คืนนี้เราจะเดินดูไฟกัน


พอลงป้ายตรง Lisbao แล้ว มารู้สึกว่าเราควรหาอะไรกินก่อน เลยเดินต่อไปร้าน Chan Kong Kei Roast Duck หรือร้านเป็ดเทพที่เราคนไทยเรียกกัน

ตอนแรกกะจะกินทั้งเป็ดไก่หมูแดงหมูกรอบ แต่นี่เริ่มมืดแล้ว เลยเหลือแค่เป็ดกับไก่ เลยสั่งแบบมิกซ์มา สั่งข้าว แล้วก็ผักมากินแก้เลี่ยนค่ะ


Casino Lisbao


อิ่มท้องก็กลับไปถ่ายรูปเล่นแถวลิสบัว


จากที่นี่เราจะไปดูโชว์น้ำพุที่ Wynn Hotel กันต่อ โดยสามารถเดินไปตามทางเชื่อมไปยังลานจอดรถใต้ดิน โดยเดินตามป้าย WYNN MACAU ไปได้เลย




Wynn Hotel


Wynn Hotel จะมีแสดงน้ำพุทุกๆ 15 นาที โดยจะสลับการแสดงชุดใหญ่ กับการแสดงคั่น

วันนี้อากาศเย็นไปทางหนาวทั้งวัน เที่ยวจนมืดจนพอใจจาก Wynn Hotel ก็เดินกลับไปที่พักค่ะ

สำหรับบรรยากาศในห้องพัก

ที่นี่จะเสียค่ามัดจำกุญแจ 200 MOP  ได้คืนตอนเช็คเอาท์ ภายในห้องมีอุปกรณ์ทุกอย่างให้ครบ ไม่มีแค่ตู้เย็น อุปกรณ์ในห้องน้ำ ผ้าเช็คตัว ไดร์เป่าผมมีครบค่ะ


แต่จะเห็นว่ากระจกห้องน้ำเป็นฝ้าๆ แบบนี้ ไม่มีที่ล็อค แต่ก็มองไม่เห็นนะคะ อย่าเปิดพรวดขณะเพื่อนอีกคนอยู่ในนั้นก็พอ ถ้าสนใจอยากพักลองดูได้ที่นี่ https://www.agoda.com/partners/partnersearch.aspx?pcs=1&cid=1811539&hl=th&hid=334686 หรือ https://www.booking.com/hotel/mo/ole-tai-sam-un.th.html?aid=1615768&no_rooms=1&group_adults=1

วันที่สอง

The Ruin of St. Paul's

จากที่พักเดินผ่านเซนาโด้ยามเช้าตรงไปยังซากประตูโบสถ์ ต่ถึงจะมาเช้าคณะทัวร์ก็มาเช้ากว่าเรา


แต่ถือว่ายังไม่แน่นมากเท่าไหร่



หันหน้าเข้าซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลด้านซ้ายมือจะคือวัดนาชาค่ะ


ที่ติดกันคือกำแพงเมืองเก่า



Patio de Chon Sau


จากตอนแรกที่ว่าจะหาอะไรรองท้องแถวซากประตูโบสถ์แต่เนื่องจากยังเช้ามากร้านอาหารยังไม่เปิด เลยเดินมาเที่ยวต่อที่ย่านถนนศิลปะ Patio de Chon Sau


ที่นี่เป็นซอยที่มีร้านที่ตกแต่งแนวอาร์ตๆ รวมทั้งการตกแต่งพื้นถนน และกำแพง ทำให้กลายเป็นย่านศิลปะและงานอาร์ตให้มาเยี่ยมชมกัน
เดินมาไม่ยาก จากบันไดล่างสุดของซากประตูโบสถ์เดินไปทางขวามือจะเห็น Starbucks เดินเข้าซอยข้างๆนั้นลงไปได้เลยค่ะ จะมีซอยเล็กๆ ทางขวามือเดินตามภาพวาดฝาผนังไปก็จะเห็นซอย


Love Land Macau


เดินย้อนกลับไปตรงแยกร้าน Starbucks ไปทางซ้ายจะเจออีกซอยที่เป็นที่นิยมมาถ่ายรูปกันกันอีกที่ Love Lane


จะเป็นอาคารสีชมพูประตูเขียว สมกับเป็นถนนแห่งความรัก



Nam Peng Cafe สรุปเช้าวันนี้เราเลือกไปฝากท้องที่ร้าน Nam Peng Cafe


ของที่แนะนำคือ Nam Peng แซนวิช อร่อยสมคำร่ำรือ ส่วนที่สั่งมาอีกอย่างคือ ไข่ดาวแฮม ซึ่งให้ขนมปังมาด้วย แล้วก็สั่งกาแฟกับนมมาคนละแก้ว แต่นมนี่น่าจะไม่ใช่นมวัวค่ะ กลิ่นแรงมาก สรุปเลยนั่งจิบน้ำชาที่เขาให้ฟรี

ที่นี่ขึ้นไปรับประทานอาหารที่ชั้น 2  สั่งเมนูมีภาษาอังกฤษกับคุณป้าข้างบน พอจะจ่ายเงินลงไปจ่ายชั้น 1 ค่ะ ตอนแรกอาจจะงงว่าไม่มีใบเสร็จอะไร แต่เวลาเดินลงไปชั้นบนจะตะโกนราคาบอกชั้นล่างค่ะ เราก็จ่ายได้เลย


Macau Monte Fort


จากซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล หันหน้าเข้า ด้านขวามือจะเป็นทางขึ้น Monte fort ค่ะ


ที่นี่แต่เดิมเป็นป้อมปราการทางทหาร ปัจจุบันจะมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม และเป็นที่พักผ่อนชมวิวเมืองแล้วก็ออกกำลังกาย
ในบริเวณเดียวกันที่เป็นที่ตั้ง Macao Museum

Alberque SCM


ลงจาก Monte Fort ก็เดินต่อไปยังย่านลาซารุส ย่านนี้จะเป็นย่านที่มีกลิ่นอายแบบยุโรป สำหรับ Alberque SCM เป็นพื้นที่สำหรับแสดงงานศิลปะ

ที่นี่เป็นอาคารสองชั้นสไตล์ยุโรป ปัจจุบันใช้เป็นที่แสดงงานศิลปะของศิลปินมาเก๊าและโปรตุเกส
อาคารและถนนในย่านนี้
ถัดมาใกล้ๆ กัน คือตึก Escola de Musica เป็นสถาบันดนตรีของมาเก๊า ตึกนี้จะเห็นเป็นฉากที่ใช้ถ่ายพรีเวดดิ้งบ่อยๆ ค่ะ

ตรงข้ามกันคือโบสถ์เซนต์ลาซารุซ อีกที่หนึ่งที่เป็นที่นิยมสำหรับถ่ายพรีเวดดิ้ง


เดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเจอกับร้านไอติมเก่าแก่ของมาเก๊าค่ะ
Lai Kei Sorvetes


แวะลองไอติมซิกเนเจอร์ของร้าน นั่นคือ Icecream Sandwich จะมีไอติมสามรสข้างใน ต้องลุ้นรสชาติเอา



ถนนเส้นเดียวกับร้าน Lai Kei Sorvetes จะเต็มไปด้วยร้านรองเท้านะคะ รุ่นที่แวะๆ ดูราคาถูกกว่าไทยนิดหน่อย


Senado Square


เราเดินวนกลับมาเที่ยวจัตุรัสเซนาโด้ เนื่องจากเมื่อเช้าเหล่าร้านค้ายังไม่เปิด

บรรยากาศยามเช้า

กลับมาอีกรอบพร้อมผู้คนมากมาย


ตึกสีขาวด้านหลังคือสำนักแห่งความเมตตา ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานทางศิลปะเกี่ยวกับทางศาสนาคริสต์และของสะสมโบราณนะคะ สามารถเข้าไปชมได้


ส่วนด้านข้างคือที่ทำการไปรษณีย์มาเก๊า

ส่วนฝั่งตรงข้ามคือตึกลีลเซนาโด้


St. Dominic's Church


เดินเข้าไปจากน้ำพุไม่ไกลจะเจอกับโบสถ์เซนโดมินิ โบสถ์ที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในจตุรัสเซนาโด้ โบสถ์นี้ตัวอาคารจะเป็นศิลปะบาโร้ก-โคโลเนียล เป็นอาคารสีพาสเทล ได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปกรรมทางศาสนาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในมาเก๊า สามารถเข้าชมความงามด้านในได้ค่ะ
นอกจากที่นี่แล้วยังมีโบสถ์และสถานที่สวยงามอีกหลายจุด รวมถึงร้านช้อปปิ้งอีกด้วยค่ะ


สำหรับกลางวันวันนี้เรามาฝากท้องที่ร้าน Wong chi kei ร้านเกี๊ยวชื่อดังของมาเก๊า ที่นี่คิวจะค่อนข้างยาว วิธีต่อคิวคือแจ้งจำนวนคนกับพนักงานที่นั่งด้านหน้าร้านจะได้เลขคิวมาค่ะ รอเขาเรียกคิว เขาจะดูว่ามากี่คนโต๊ะกี่คนว่างถ้ามาน้อยคนอาจจะได้ทั้งนั่งโต๊ะเล็ก หรือไม่ก็รวมกับคนน้อยด้วยกัน


อาหารของเรามีเกี๊ยวยักษ์ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง แล้วก็ลูกชิ้นปลาทอด

ตกบ่ายเราลงไปทางใต้เที่ยวโคโลอานกันค่ะ ที่แรก Hac Sa Beach


จากแถวเซนาโด้รอรถ 26A เพื่อไปหาดฮักซา นั่งรถคันนี้จนสุดสายลงถึงหาดเลยค่ะ


แต่ฝนตกค่ะสรุปเลยไม่ได้เดินเล่น รออยู่นานฝนก็ไม่มีทีท่าจะหยุดคงเพราะเป็นทะเลเลยถอยทัพ


ที่ป้ายเดิมนั่งรถ 26A กลับไปหมู่บ้านโคโลอาน


ลงรถที่หมู่บ้านโคโลอานใกล้วงเวียนแฟนต้า มาถึงนี่ก็เริ่มจากหาอะไรรองท้องค่ะ แน่นอนว่ามาถึงถิ่นโคโลอานก็ต้องชิมทาร์ตไข่ของ Lord Stow's ที่ขึ้นชื่อ ร้านตรงวงเวียนแฟนต้าจะเป็นสาขาแรกไม่มีที่นั่งค่ะ เราเดินเข้าซอยข้างๆ ไปนั่งร้านที่เป็นคาเฟ่ค่ะ จะมีสองร้านนะคะที่มีที่นั่งหน้าร้านสาขาแรกจะมีลูกศรชี้บอกว่าร้านไหนไปทางไหน


เรามาร้านสาขาสีฟ้าพาสเทล

ภายในร้าน


เนื่องจากวันนี้เขาจะซ่อมแอร์ค่ะ เลยสั่งอะไรเบาๆ แบบเร็วๆ เป็นทาร์ตไข่ (ชิ้นละ 9MOP) ชาแอปปริคอท แล้วก็แซลมอน

สำหรับชาหอมมาก เข้ากะทาร์ตไข่เลย มีน้ำผึ้งให้เติมด้วยถ้าใครชอบหวาน


Chapel of St. Francis Xavier


สำหรับที่โคโลอานต้องแวะมาที่โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์ ที่นี่สร้างเพื่อระลึกถึงนักบุญฟรานซิส ซาเวียร์ ศิลปะเป็นแบบบาโรกอีกเช่นกัน ตึกสีเหลืองพาสเทลสวยงาม ส่วนแฟนซีรี่ย์ที่นี่เป็นฉากตอนจบของเรื่อง Princess Hours

ข้างๆ เป็นที่ตั้งของห้องสมุดโคโลอาน


อีกด้านคือทะเล


เดินเที่ยวรอบๆ โคโลอาน

ร้าน Lord Stow's สาขาแรก

ร้าน Lord Stow's อีกสาขา


หมู่บ้านชาวประมงและท่าเรือ

The Venetian Macao


จากหมู่บ้านโคโลอานนั่งรอรถที่ป้ายตรงวงเวียนแฟนต้า นั่งรถ 26A หรือ 21A  จากโคโลอานมาลงป้ายหน้า Parisian เดินต่อไปอีกนิดก็จะถึง The Venetian

เข้าไปก็จะเจอกับลูกโลกและเพดานงดงามแบบนี้
เดินตรงผ่านคาสิโน โชว์พาสปอร์ต ผ่านคาสิโนไปจะเป็นทางขึ้นไปชั้น 2 ที่ตั้งคลองเวนิชจำลอง

ส่วนบรรยากาศของห้างก็จะตกแต่งสไตล์ยุโรป
จากเวเนเชียนเดินไปทางป้ายที่บอกว่าไป Parisian เเพื่อไปดูหอไอเฟลจำลองกันต่อ เดินมาเรื่อยๆ จนเจอโถงทางเข้าแบบนี้


เดินลงไปแล้วออกไปด้านหน้าก็จะเจอหอไอเฟลจำลองค่ะ



เดินต่อไปจะเป็น Studio City


ที่นี่มีชิงช้าสวรรค์เลข 8 หรือสัญลักษณ์อินฟินิตี้
กลับมาแถวที่พักจะมีร้านนมตุ๋นร้านดังค่ะ Leitaria I Son สั่ง Milk Pudding แบบเย็นไปคนละถ้วย
ส่วนอาหารคาวมื้อเย็นยังไม่ตกถึงท้องเลย ระหว่างเดินกลับเจอร้านนี้พอดีจัดซะเลย

เลือกผักกับลูกชิ้นส่งให้คุณลุงกะคุณป้าทำการลวกๆ พอเริ่มสุกก็จะเอาไปลวกต่อในน้ำซุป พอสุกหมดป้าจะถามว่าจะร้านน้ำเผ็ดๆ ปุดๆ นั่นมั้ย ซึ่งป้าให้ไรเราเอาหมดเอามาลอง ราดครบหมดเรียบร้อยได้มาหน้าตาประมาณนี้ อยากบอกว่าอร่อยมาก ชอบสุดเลย


สำหรับร้าน Super Market 24 ชั่วโมงแถวที่พักแนะนำ Sunsco Supermarket ค่ะ



วันที่สาม

วันสุดท้ายในมาเก๊าตอนเช้าเก็บของเช็คเอาท์ได้รับเงินค่ามัดจำกุญแจคืนแล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ที่พักก่อน วันนี้กะจะกินโจ๊กตรงหน้าที่พัก แต่เราเช็คทำอะไรเสร็จเรียบร้อยก่อน 8 โมงนิดหน่อย ร้านจะเปิดตอน 8 โมง ระหว่างนี้เราเลยเดินเที่ยวถนนเส้นที่เราอยู่ก่อน


Rua da Felicidade หรือถนนแห่งความสุข ถนนเส้นนี้สองข้างจะเป็นบ้านโบราณที่ทาประตูหน้าต่างสีแดง แต่ก่อนตรงนี้จะเป็นย่านอโคจรพวกผับบาร์ แต่ปัจจุบันปรับปรุงให้เป็นร้านอาหาร คาเฟ่ และที่พักค่ะ อีกอย่างที่นี่เป็นฉากในหนังของผู้กำกับหว่องกาไวด้วย

พอถึงเวลาร้านเปิด ก็ได้เวลาอาหารเช้าของเรา

โจ๊กหมูใส่ไข่ ได้หมูก้อนใหญ่ อร่อยสมคำร่ำรือ


MGM Grand Macau


หลังจากมื้อเช้าเรียบร้อยก็ออกเดินทางไปเกาะมาเก๊าฝั่งตะวันออกค่ะ รอรถเมล์ป้ายฝั่งเซนาโด้ นั่งรถสาย 3A ไปลง MGM Grand Macau ค่ะ ป้ายที่ลงจะตรงกับประตูฝั่งคาสิโนนะคะ ให้เดินต่อไปยังด้านหน้าโรงแรม


เดินเข้าทางประตูหน้า ผ่านล็อบบี้เข้าไปเราจะเจอกับโซนตู้ปลาค่ะ ที่นี่เป็นโถงที่จัดแสดงศิลปะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เป็นตีม Beauty in the Air จะตกแต่งด้วยดอกไม้และผีเสื้อ

จาก MGM ข้ามถนน เดินไปเที่ยวกันต่อ จาก MGM จะถึงรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมริมทะเลก่อน แต่เนื่องจากเปิด 10:00 น. เราเลยเดินไปศูนย์วิทยาศาสตร์มาเก๊าก่อน


อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์มาเก๊าเป็นรูปเกลียวก้นหอย ที่นี่เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดของเอเชีย 

เรามาที่นี่เพื่อต้นไม้รูปหัวใจ เสียดายยังทำความสะอาดอยู่


Statue of Kun lam


จากพิพิธภัณฑ์เราก็เดินย้อนกลับมาชมรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม หนึ่งในแลนด์มาร์กของมาเก๊า ภายใต้ฐานดอกบัวเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมา เข้าชมได้ฟรี

ภายในพิพิธภัณฑ์

Macau Fisherman Wharf

จากองค์เจ้าแม่กวนอิมเราจะไปเที่ยว Macau Fisherman's Wharf กันต่อ เราใช้วิธีนั่งรถเมล์ จากรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม นั่งรถเมล์สาย 17 ไปลงป้าย Av. Amizade/ R. do Terminal Maritimo ใกล้ๆ กับท่าเรือมาเก๊า ตรงข้ามโรงแรม Legend Palace Hotel 

ข้ามถนนแล้วเดินเข้าทางโรงแรมได้เลยค่ะ เพราะโรงแรมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ของ Fisherman's Wharf 


ที่นี่เป็น Theme Park ตกแต่งผสมผสานกันจากเมืองท่าเรือจากทั่วโลก ไฮไลท์ของที่นี่คือโคลอสเซียมจำลอง



นอกจากนั้นยังมีโซนร้านค้าและร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยสีสันสวยงาม

จาก Fisherman's wharf กลับที่พัก ข้ามถนนหน้า Fisherman's wharf ตัดสวนใต้สะพานกลับรถไปรอรถป้าย Avenida Da Amizade นั่งรถสาย 3 กลับไปลงป้าย Almeida Ribeiro ตรงข้ามเซนาโด้ค่ะ


หลังจากได้ของเรียบร้อยก็กลับไปเอากระเป๋าข้ามไปไทปา เพื่อเที่ยวไทปาต่อ  เราใช้นั่งแท็กมาลงที่ COD เพราะที่นี่ฝากกระเป๋าได้ฟรีค่ะ ถ้าฝากที่เวเนเชียนจะเสียค่าฝาก 10MOP ที่นี่พอเข้ามาที่ Main Lobby แล้ว เดินตรงไปก่อนเข้าคาสิโนจะมีช่องแอบอยู่ทางด้านขวา เป็นที่ฝากกระเป๋าค่ะ 

พอฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินไปเวเนเชียน เพื่อไปยังทางเดินเชื่อมไปหมู่บ้านไทปา ถ้าใครไม่อยากฟิตแบบเรา ที่ COD ลงบันไดเลื่อนลงไปด้านล่างมีรถเวียนส่งตามโรงแรมรอบๆ นะคะ รอวนไปลงเวเนเชียนได้ แต่เราขี้เกียจรอเลยเดินมาเรื่อยๆ ข้ามถนนมาก็เจอเวเนเชียน


ถ้าออกจากในเวเนเชียนให้ออกทาง  West Lobby ที่เป็นที่จอดรถ Shuttle Bus ถ้าเดินข้างนอกก็คือเดินไปทางโรงแรม Galaxy เดินไปจะเจอทางเชื่อมแบบนี้ค่ะ 


ทางมาจากทางเชื่อมเราจะเข้า Street Food จากทางฝั่งนี้


ความตั้งใจตอนแรกอยากมาชิมอาหารโปรตุกีส แต่ว่าวันนี้วันอังคารร้านปิด เลยเดินชิมอะไรไปเรื่อยเปื่อย


เราแวะร้าน Bitter Sweet


ชิมขนมประจำมาเก๊าอีกอย่างคือ Serradura หรือ Macau Sawdust Pudding


ถ้านั่งรถมาจะลงตรงทางเข้า Street Food ด้านนี้ ซ้ายมือเป็นร้านขายของที่ระลึก Cunha Bazaar ขวามือคือร้านขายขนมชื่อดัง Koi Kei Bakery


สำหรับใครที่หาของฝากที่เป็นขนมเข้าทางร้านขวามือได้เลยค่ะ มีทั้งขนมและหมูแผ่นขึ้นชื่อของมาเก๊า ส่วนใครอยากกได้เป็นของที่ระลึกกระจุกกระจิกเข้าทางฝั่งซ้ายมือได้เลยค่ะ


ผลงานของที่นี่สร้างสรรจากศิลปินหลายๆ ทั้ง มีของหลากหลายมาก


สำหรับมาเก๊าของอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือขนมปังหมูทอดค่ะ ร้านดังของที่นี่ก็คือ Tai Lei Loi Kei ไม่ต้องกลัวหาร้านไม่เจอ มีคนถือป้ายบอกตั้งแต่หน้าซอยเลยค่ะ


Pork Chop Bun


นอกจากนี้เรามีคาเฟ่ที่ตั้งใจมาอีก 1 ที่ ที่นี่คนไม่ค่อยรู้จัก เพราะหน้าตาไม่เหมือนร้านคาเฟ่เท่าไหร่ ที่นี่คือ ROOFTOP Macau


เราเห็นนักท่องเที่ยวมาส่องหน้าร้านดูไม่ออกว่าร้านอะไรแล้วก็ไป ที่นี่ชั้นล่างเป็นเคาท์เตอร์สั่งเครื่องดื่มแล้วก็ขายของกิ๊ฟช้อปค่ะ แต่เรามาเพื่อชั้นบน ที่นี่มีดาดฟ้าให้นั่งจิบกาแฟชมวิวหมู่บ้านไทปาได้ชิวๆ


น้ำแอปเปิ้ลสำหรับจิบนั่งชมวิวของเรา

เดินออกสำรวจหมู่บ้านไทปา


Art Space
ร้าน Tapas de Portugal 

Historical Museum of Coloane and Taipa



วัดปักไท วัดและศาลเจ้าเก่าแก่ประจำไทปา

เดินไปอีกทางจะเจอกับโบสถ์พระแม่คาร์เมล

ใกล้ๆ มีบันไดร่มรื่นถ่ายรูปกันได้สวยๆ อีกเช่นกัน


ตรงมาอีกนิดก็จะเจอ Taipa House Museum


บ้านหลังสีเขียวเรียงกันแสดงวิธีชีวิตของชาวมาเก๊าและโปรตุเกส

ที่นี่เป็นที่นั่งพักชมวิวิมบึง มีน้ำพุ เดินเล่น  แต่ถ้ามาคนเดียวจะตาร้อนเล็กน้อย เพราะที่นี่เป็นดินแดนของคู่รัก เขามากันเป็นคู่ทั้งนั้นเลย


พอพระอาทิตย์ใกล้ตก เราก็เดินกลับไป Food Street เพื่อซื้อของฝากเพิ่ม ละลายเงินปาตาการ์นั่นเอง


จบทริปมาเก๊า 3 วันเต็มๆ เป็นเมืองเล็กๆ ที่ทั้งสวยและบรรยากาศดี หวังว่าทุกคนจะมาหลงรักมาเก๊าด้วยกันนะคะ

You May Also Like

0 ความคิดเห็น

TripAdvisor
Booking.com